คำถามนี้หลายๆท่านที่เลี้ยงสุนัขคงเคยได้ยินได้ฟังและอาจจะเป็นผู้หนึ่งเอ่ยคำถามนี้ขึ้นมาเสียเอง เนื่องจากหลายครั้งหลายหนที่เราคิดว่าแม่สุนัขของเราดูเหมือนว่าจะท้อง แต่ท้ายสุดก็ไม่ท้อง ทำให้ความมุ่งหวังที่บังเกิดขึ้นขณะที่เฝ้ารอลูกสุนัขตัวน้อยๆเป็นอันต้องสูญสิ้น ปัจจุบันการตรวจการตั้งท้องนั้นมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีความน่าเชื่อถือหรือความแม่นยำ ตลอดจนค่าใช้จ่ายรวมถึงความยุ่งยากและผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน เอาเป็นว่าในโอกาสอันดีนี้ ข้าพเจ้าจะพูดเฉพาะวิธีการตรวจท้องที่ได้รับความนิยมและไม่ยุ่งยากจนเกินไปอันได้แก่
1. การตรวจการตั้งท้องโดยดูลักษณะทางสรีรสภาพและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ลักษณะที่เปลี่ยนไปของแม่สุนัขหลังผสมพันธุ์ มักจะถูกสังเกตเห็นได้ง่ายโดยเจ้าของสุนัขเอง ลักษณะที่แสดงออกให้เห็นได้แก่ ช่องท้องเริ่มขยายใหญ่ เต้านมเริ่มขยายและหัวนมมีสีชมพูอ่อนๆ ปากช่องคลอดมีขนาดใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับตอนช่วงก่อนที่แม่สุนัขแสดงอาการสัด รวมถึงพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปเช่น เคยกินอาหารได้ดีอาจเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยกินอาหาร หรือบางตัวอาจจะกินอาหารมากกว่าปกติ บางตัวจะสงบเสงี่ยมมากขึ้น แต่บางตัวก็หงุดหงิดง่าย ลักษณะทางสรรีรสภาพและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของแม่สุนัขหลังการผสมพันธุ์บางตัวอาจจะสังเกตให้เห็นได้เร็ว บางตัวก็ใช้เวลานานถึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นร่วมด้วย ที่เห็นเด่นชัดก็คือจำนวนลูกที่อยู่ในท้องแม่สุนัข แต่การตรวจท้องโดยวิธีนี้ความแม่นยำจะไม่สูงนักรวมทั้งไม่สามารถคอบคำถามได้ว่าแม่สุนัขจะมีลูกกี่ตัว และบ่อยครั้งเจ้าของแม่สุนัขมักจะอุปทานหรือมองเข้าข้างตนเองมากเกินไปทำให้มักเกิดความผิดพลาดในการวินิจฉัยได้มาก2. การตรวจการตั้งท้องโดยวิธีการคลำผ่านทางหน้าท้อง ปกติตัวอ่อนของสุนัขจะอาศัยหรือฝังตัวอยู่ในส่วนปีกมดลูกของแม่สุนัขภายหลังการปฏิสนธิ 2 3 สัปดาห์ ในสุนัขบางสายพันธุ์เราจึงสามารถที่จะตรวจการตั้งท้องโดยใช้วิธีการคลำผ่านหน้าท้องเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของปีกมดลูก ซึ่งก็ต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้ตรวจเป็นสำคัญรวมถึงการระมัดระวังไม่ให้เกิดการกระทบกระเทือนจนเป็นเหตุทำให้เกิดการแท้งลูกขึ้น บ่อยครั้งที่ผู้ตรวจอาจคลำไปถูกอุจจาระของแม่สุนัขซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้วินิจฉัยผิดได้ การตรวจโดยวิธีนี้หากตรวจในช่วงท้ายๆของการตั้งท้องอาจพบว่าผู้ตรวจสามารถที่จะสัมผัสกับตัวอ่อนที่เคลื่อนไหวอยู่ในท้องของแม่สุนัขได้เลย แต่การตรวจโดยวิธีนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าแม่สุนัขมีลูกกี่ตัว3. การตรวจการตั้งท้องโดยวิธีการถ่ายภาพรังสี การตรวจการตั้งท้องวิธีนี้ใช้หลักการการผ่านของรังสีเอ็กซเรย์ หากรังสีไปตกกระทบกับส่วนที่มีความหนาแน่นสูงเช่นโครงกระดูกของลูกสุนัข จะมีผลทำให้รังสีไม่ผ่านส่วนโครงกระดูกนี้จึงทำให้เมื่อดูในฟิล์มจะพบว่าเป็นส่วนสีขาวเป็นรูปโครงกระดูกของลูกสุนัข เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจการตั้งท้องโดยวิธีการถ่ายภาพรังสีจะเป็นช่วงที่ลูกสุนัขมีการเจริญของกระดูกแล้วคือตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังการเกิดปฏิสนธิ การตรวจโดยวิธีนี้ค่อนข้างให้ความแม่นยำสูงและบอกได้ว่ามีลูกอยู่ในท้องอย่างน้อยกี่ตัวจากการนับโครงกระดูกที่เห็นในฟิล์ม แต่บ่อยครั้งจำนวนลูกที่ได้จริงอาจจะมากกว่าที่เห็นในฟิล์มเป็นผลเนื่องจากการเกิดการซ้อนทับกันของลูกในท้องทำให้มองไม่เห็นในฟิล์มเอ็กซเรย์4. การตรวจการตั้งท้องโดยวิธีใช้คลื่นเสียงความถี่สูง อัลตร้าซาวด์ เป็นคำที่พูดกันติดปาก การตรวจโดยวิธีนี้จะมีความปลอดภัยและมีความแม่นยำค่อนข้างสูง สัตวแพทย์ผู้มีความชำนาญอาจตรวจพบการตั้งท้องได้เร็วที่สุด 20 วันหลังการผสมพันธุ์ แต่หากหลัง 28 วัน สัตวแพทย์ผู้ตรวจสามารถตรวจพบการเต้นของหัวใจลูกสุนัขได้ ปัจจุบันการตรวจโดยวิธีการนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเพราะสามารถตัดความกังวลใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดจากการถ่ายภาพรังสีเอ็กซเรย์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงกว่าการถ่ายภาพรังสีจนเกินไป แต่การตรวจโดยวิธีนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าแม่สุนัขมีลูกกี่ตัว5. การตรวจการตั้งท้องโดยการตรวจฮอร์โมน ฮอร์โมนที่มีความจำเพาะต่อการตรวจการตั้งท้องคือ รีแล็คซิน ฮอร์โมนตัวนี้ถูกสร้างขึ้นจาก รกของลูกสุนัขในท้องแม่สุนัข เพราะฉนั้นสุนัขที่ตั้งท้องจะมีฮอร์โมนตัวนี้ในระดับสูง ปัจจุบันบ้านเรามีชุดตรวจสำเร็จรูปสำหรับตรวจการตั้งท้องโดยวิธีนี้จำหน่าย แต่ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการตรวจการตั้งท้องโดยวิธีการอื่น แต่วิธีการตรวจค่อนข้างสดวกโดยตรวจจากเลือดของแม่สุนัขหลังผสม 21 วันจะให้ผลที่ 61 เปอร์เซ็นต์ หากตรวจภายหลังผสม 29 วันจะให้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ โดยสามารถทราบผลภายใน 10 นาที ข้อดีของวิธีการตรวจวิธีนี้คือสามารถแยกการตั้งท้องจริงกับการตั้งท้องเทียมหรือท้องลมได้ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าแม่สุนัขจะให้ลูกกี่ตัวจากวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น ก็คงจะพอเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับให้ผู้เพาะพันธุ์สุนัขเป็นแนวทางเบื้องต้นในการจัดการกับตัวแม่พันธุ์สุนัข หลายวิธีค่อนข้างสดวกในการวินิจฉัย บางวิธีอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายและจำเป็นต้องพึ่งสัตวแพทย์เป็นผู้ตรวจวินิจฉัย บางวิธีบอกได้ถึงจำนวนลูกที่อยู่ในท้อง ก็ลองดูละกันนะครับ ถ้าไม่อยากรอจนถึง 2 เดือน ก็เลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีมาประกอบกัน จะได้วางแผนจัดการกับแม่พันธุ์สุนัขและวางแผนจัดการกับลูกสุนัขที่จะเกิดขึ้นมาด้วยความพร้อมที่สุด
ที่มา : petnews (petnews2005.com)ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต