จากภาวะความแห้งแล้งที่ส่งผลกระทบกับเกษตรกรไทย โดยคาดกันว่าในปี 2553 มูลค่าความเสียหายในภาคเกษตรกรรมอันเป็นผลมาจากปัญหาภัยแล้งจะไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท โดยอ้างอิงการคำนวณความเสียหายจากปัญหาภัยแล้ง และปรากฏการณ์เอลนินโญ่ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540-2541 และปี 2547-2548 ซึ่งเป็นการแยกคำนวณเป็นรายพืชจากข้อมูลพื้นที่การเกษตรที่เสียหายคูณด้วยผลผลิตเฉลี่ยของแต่ละพืช และคูณด้วยราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ของแต่ละพืช สืบเนื่องจากการที่ราคาเฉลี่ยสินค้าเกษตรในปี 2553 อยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่า โดยส่วนใหญ่พืชที่เสียหายคือ ข้าวนาปรังที่อยู่นอกเขตชลประทาน แม้ว่ารัฐบาลจะรณรงค์ให้ลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง แต่คาดว่าจะไม่ได้ผลมากนัก เนื่องจากเป็นมาตรการในเชิงขอความร่วมมือ และรัฐบาลยังคงมีมาตรการประกันรายได้เกษตรกร ทำให้คาดว่าชาวนายังคงจะปลูกข้าวนาปรัง โดยบางส่วนจะหันไปพึ่งพิงน้ำบาดาลในการปลูกข้าว ซึ่งจาก รายงานการสำรวจการปลูกพืชฤดูแล้งในปีนี้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบว่า เกษตรกรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยามีแนวโน้มในการทำนาปรังอย่างต่อเนื่อง และเกินกว่าแผนที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 17 ซึ่งจากการกำหนดพื้นที่เป้าหมายเพาะปลูกพืชหน้าแล้งทั่วประเทศไว้จำนวน 12.28 ล้านไร่ โดยแยกเป็นข้าวนาปรัง 9.50 ล้านไร่ พืชไร่-พืชผัก 2.78 ล้านไร่ แต่จากการสำรวจของกระทรวงเกษตรฯพบว่า การเพาะปลูกพืชหน้าแล้งในปัจจุบันมีการเพาะปลูกไปแล้วกว่า 15.16 ล้านไร่ เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 23.5 ทั้งนี้เนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในเกณฑ์สูงอันเป็นแรงจูงใจที่สำคัญให้เกษตรกรยอมเสี่ยงที่จะขยายพื้นที่ปลูกพืชฤดูแล้ง
เกี่ยวกับสภาวะความแห้งแล้งปี 2553 นี้ นายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี ได้กรุณาเล่าให้ฟังครั้งที่ได้รับเชิญไปเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ครั้งที่ 6 เขตพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เมื่อวันก่อนว่า ขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลายาวนาน แต่พระองค์ยังคงทรงงานตามปกติและยังทรงห่วงใยราษฎร โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีรับสั่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยเรื่องภัยแล้งมากและได้มีพระราชดำรัสให้องคมนตรีเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลและขอปรึกษาหารือและระดมกำลังระดมสมอง เพื่อหาทางแก้ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งสำนักงาน กปร.ได้ทำหน้าที่ในการประสานงานในส่วนที่จะต้องขอความร่วมมือจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหลาย ๆ ส่วน และได้ดำเนินการตามที่มีกระแสพระราชดำรัสรับสั่ง ให้มีการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับภัยแล้งอย่างครบวงจรที่มีหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวงและกรมฯ เข้ามาร่วมกันดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้ผ่านพ้นวิกฤติภัยแล้งปี 53 นี้ ซึ่งขณะนี้ในหลายพื้นที่ก็เบาบางและบรรเทาไปบ้างแล้วถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยราษฎร ปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้เสด็จออกพื้นที่ เนื่องด้วยพระพลานามัยไม่เอื้ออำนวย แต่โครงการพระราชดำริต่าง ๆ ก็ไม่ได้หยุด เนื่องจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงงานสานต่อพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยพระองค์เอง ขณะเดียวกันก็ยังมีราษฎรที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่ดินทำกิน เรื่องแหล่งน้ำ ซึ่งจะมีการทูลเกล้าฯถวายฎีกาไปที่สำนักราชเลขาธิการ ว่ามีความเดือดร้อนอย่างไร ซึ่งจะมีตั้งแต่เรื่องการขาดแคลนแหล่งน้ำ ปัญหาเรื่องปัจจัยในการดำเนินชีวิตต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อฎีกามาทางสำนักราชเลขาธิการก็จะแจ้งไปที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นอันดับแรก เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมว่า ราษฎรที่ขอพระราชทานความช่วยเหลือจากการถวายฎีกามานั้นมีความเดือดร้อนจริงไหม เมื่อทราบว่าเดือดร้อนจริง ก็จะส่งไปให้สำนักงาน กปร. เพื่อทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อไปพิจารณาหาทางช่วยเหลือและดำเนินการตามความเป็นจริง และเมื่อพิจารณาเสร็จได้ข้อสรุปว่าจะแก้ไขอย่างไรแล้ว สำนักงาน กปร.จะจัดทำรายงานเพื่อทูลเกล้าฯขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อมี พระราชดำริลงมาว่าฎีกานี้ให้รับเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ หน้าที่ต่อไปคือ สำนักงาน กปร.จะดำเนินการตามที่มีพระราชดำริ โดยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมกับให้การสนับสนุนงบประมาณ และจัดทำแผนงาน เพื่อให้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเป็นไปตามพระราชประสงค์และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป โครงการพระราชดำริต่าง ๆ ณ วันนี้ยังไม่ได้หยุดแต่ประการใด ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงทราบความเป็นมา การดำเนินงาน และความคืบหน้าทุกโครงการ แม้จะมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรและติดตามด้วยพระองค์เองดังเช่นในอดีตก็ตาม นายสวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี กล่าว.
tidtangkaset@dailynews.co.th
ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์