"การวิจัยและพัฒนากาแฟ อาราบิก้าแบบครบวงจร เป็นผลงานวิจัยหนึ่งใน 11 เรื่อง ที่กรมวิชาการเกษตรได้พิจารณาคัดเลือกให้เป็น ผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2552 ซึ่งเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบิก้าสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนา เพื่อยกระดับการผลิตกาแฟอาราบิก้าแบบครบ วงจรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยพัฒนาอาชีพ พร้อมสร้างรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในเวทีการค้าเสรีได้ นายมานพ หาญเทวี นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในทีมนักวิจัยโครงการวิจัยและพัฒนากาแฟอาราบิก้าแบบครบวงจร กล่าวว่า เนื่องจากพื้นที่ปลูกกาแฟอาราบิก้าในเขตภาคเหนือประสบปัญหาการระบาดของโรคราสนิมซึ่งสร้างความเสียหายให้เกษตรกร กรมวิชาการเกษตรจึงได้ดำเนินโครงการวิจัยการศึกษาและคัดเลือกสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้าที่ต้านทานโรคราสนิม ที่เกิด จากเชื้อรา Hemileia vastatrix B.&Br. มาตั้งแต่ปี 2528-2547 สามารถคัดเลือกกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ Catimor CIFC 7963-13-28 และต่อมาได้ประกาศรับรองพันธุ์กาแฟพันธุ์ดังกล่าวในชื่อ พันธุ์เชียงใหม่ 80 กาแฟอาราบิก้าพันธุ์ใหม่นี้มีลักษณะเด่น คือ ต้านทานโรคราสนิมสูง ให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟดิบเฉลี่ย 5 ปี สูงถึง 215 กิโลกรัมต่อไร่ สภาพพื้นที่ที่แนะนำให้ปลูก คือ เขตภาคเหนือบนพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตรขึ้นไป มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-25 องศาเซลเซียส และปริมาณน้ำฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี แต่กาแฟอาราบิก้าเชียงใหม่ 80 ก็มีข้อจำกัด คือ ต้องปลูกภายใต้สภาพร่มเงา หรือระหว่างแถวไม้ผลยืนต้น เช่น มะคาดิเมีย บ๊วย ลิ้นจี่ เนื่องจากไม่ทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้ง ที่ผ่านมา กรมวิชาการ เกษตรได้เร่งขยายผลโครงการฯ โดยการผลิตต้นกล้าพันธุ์กาแฟอาราบิก้าเชียงใหม่ 80 จำหน่ายจ่ายแจกให้เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย น่าน เพชรบูรณ์ เลย ตาก และจังหวัดใกล้เคียง นำไปปลูกแล้ว 2,342,000 ต้น เมล็ดพันธุ์ จำนวน 1,200 กิโลกรัม ขณะเดียว กันยังได้เร่งสร้างและพัฒนาเกษตรกร ผู้นำและแปลงต้นแบบในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ น่าน และเชียงราย ประมาณ 15 แปลง
อีกทั้งยังเร่งขยายผลการสร้างผลิตภัณฑ์กาแฟคั่วสดต้นแบบ 3 สูตร ได้แก่ DoA Gold Coffee, DoA Silver Coffee และ DoA Iced Coffee ภายใต้แบรนด์ DoA Coffee (ดีโอเอ คอฟฟี่) ซึ่งถือเป็นกาแฟสูตรพิเศษที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยได้ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปสู่กลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจกาแฟ และนำสูตรไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์กาแฟเพื่อจำหน่าย เพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ว่า เมล็ดกาแฟไทยมีคุณภาพ ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรมีกำลังการผลิตเมล็ดพันธุ์กาแฟอาราบิก้าเชียงใหม่ 80 ได้ปีละ 250-400 กิโลกรัม ทั้งยังมีขีดความสามารถในการผลิตต้นกล้าพันธุ์ได้ปีละ 700,000-800,000 ต้น นอกจากนั้นยังได้ขยายต้นแม่พันธุ์โดยการเสียบยอด เพื่อสร้างแปลงแม่พันธุ์บริสุทธิ์พร้อมควบคุมการผสมเกสร ซึ่งสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ไม่น้อยกว่า 100-150 กิโลกรัม และผลิตต้นกล้ากาแฟอาราบิก้าพันธุ์ดีได้ไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านต้นต่อปี สำหรับปลูกในพื้นที่ได้กว่า 7,500 ไร่ ซึ่งขณะนี้เกษตรกรมีความต้องการใช้กาแฟพันธุ์ดีเพิ่มสูงขึ้น ปี 2554 กรมวิชาการเกษตรได้มีโครงการที่จะประกาศรับรองพันธุ์กาแฟ อาราบิก้าลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ เพื่อเป็นพันธุ์แนะนำให้เกษตรกรอีกอย่างน้อย 2 สายพันธุ์ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานโรคราสนิม และให้ผลผลิตสูง รวมทั้งมีคุณภาพดีเพื่อเพิ่มความหลากหลายของพันธุ์กาแฟ สำหรับเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอาราบิก้าของไทย พร้อมช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตกาแฟอาราบิก้าไทยให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีการผลิตกาแฟอาราบิก้าแบบครบวงจรสามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0-5311-4133-5 และ 0-5311-4070-1.
ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์