นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งว่า ขณะนี้ฝนตกกระจายทั่วไป ทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนบ้างแล้ว แต่ยังน้อยกว่าปริมาณที่ระบายออกจากเขื่อน โดยปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ในช่วงนี้เฉลี่ยวันละประมาณ 48 ล้านลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ต้องระบายออกเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศของแหล่งน้ำถึงวันละประมาณ 68 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และอ่าวไทย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ฝนตกในขณะนี้นั้น ได้อ่อนกำลังลงและยังไม่มีมรสุมลูกใหม่พัดเข้ามา อาจจะทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง สร้างแต่ความเสียหายแก่ผลผลิตทางการเกษตรได้ โดยเฉพาะการทำนาปี เกษตรกรจะต้องติดตามสถานการณ์น้ำจากกรมชลประทานอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภาวะภัยแล้งในปีนี้ยังไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้สั่งการให้กรมชลประทานกักเก็บน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาจจะต้องนำมาใช้ช่วยเหลือเกษตรกรในภาวะฝนทิ้งช่วงในพื้นที่เขตชลประทาน ส่วนการทำนาปีที่กระทรวงเกษตรฯได้ให้ชะลอออกไปนั้น ประมาณกลางเดือน กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป หากเกษตรกรเห็นว่ามีฝนตกอย่าง ต่อเนื่องก็สามารถทำนาปีได้แล้ว ทางด้านศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรม ชลประทาน เปิดเผยว่า แม้จะมีฝนตกเหนือเขื่อนขนาดใหญ่หลายแห่งอย่างต่อเนื่อง และทำให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้น ก็ตาม แต่ปริมาณน้ำ ยังอยู่ในเกณฑ์น้อย ซึ่งจะต้องร่วมมือกัน รณรงค์ให้เกิดการใช้น้ำอย่างประหยัดต่อไป เพราะอาจจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงได้ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกต่อเนื่อง กรมชลประทาน ได้ให้โครงการชลประทานในพื้นที่ ทำการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตรวจสอบสภาพความ แข็งแรงของอาคารบังคับน้ำ ประตูระบายน้ำ รวมถึงความมั่นคงแข็งแรงของอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ของตน เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลหลากลงมา พร้อมกับวางแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดในช่วงฤดูฝนของปีนี้ สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั่วประเทศ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2553 มีปริมาณน้ำทั้งหมด รวม 33,338 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 45 ของปริมาณความจุ น้อยกว่าปี 2552 ถึง 8,379 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ คิดเป็นร้อยละ 11.
ที่มา : เดลินิวส์ ออนไลน์